ถึงแม้เราจะรู้กันอยู่แล้วว่าปัจจุบันได้มีการสำรวจมหาสมุทรไปเพียงแค่ 5-7 % เท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่เคยที่จะหยุดสำรวจ เพียงแต่ว่าบนโลกของเรามีน้ำมากถึง 70% นั่นจึงทำให้ยังมีหลายสิ่งที่ยังเป็นความลับอยู่ภายใต้มหาสมุทรเป็นจำนวนมากที่เรายังไม่รู้
และบ่อยครั้งที่การค้นพบทำให้นักสำรวจเองต่างต้องประหลาดใจ อย่างเช่นสิ่งต่าง ๆ ที่เรานำมาฝากกันวันนี้ ซึ่งจะมีอะไรที่ชวนตื่นเต้นบ้างนั้นถ้าพร้อมแล้วเราไปรับชมกันได้เลย
วัตถุลึกลับใต้ทะเลบอลติก
บอลติก ซี อนอมาลี(Baltic Sea anomaly) หรือวัตถุลึกลับใต้ทะเลบอลติกปรากฏบนภาพถ่ายโซนาร์ที่มองไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก ซึ่งถ่ายโดยปีเตอร์ ลินด์เบิร์ก, เดนนิส เอเบิร์ก และทีมดำน้ำ “Ocean X” ของสวีเดน เมื่อปี 2011
ในขณะที่พวกเขากลับมาจากการสำรวจท้องทะเลบอลติก ซึ่งอยู่ระหว่างสวีเดนและฟินแลนด์พร้อมกับภาพถ่ายภาพหนึ่งที่ ” พร่ามัวแต่น่าสนใจมาก ”
พวกเขากล่าวว่ามันเป็นวัตถุทรงกลมคล้ายหิน มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 60 เมตร หนาประมาณ 3 ถึง 4 เมตร ที่ความลึก 90 เมตร แต่ลักษณะโครงสร้างดูเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ในปีต่อมา ทีมนักดำน้ำลงสำรวจพื้นที่อีกครั้งและตั้งใจจะไปเก็บภาพที่ชัดเจนขึ้น แต่พบว่าเมื่อล่องเรือสำรวจเข้าไปใกล้ จะเกิดการรบกวนทางไฟฟ้าบางอย่างซึ่งทำให้เครื่องยนต์ขัดข้อง ราวกับว่าป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้วัตถุปริศนานี้
นั่นจึงทำให้มีผู้คนจำนวนมากออกมาแสดงความคิดต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็บอกว่าเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว บางคนก็บอกว่าเป็นบังเกอร์ใต้น้ำของนาซี บ้างก็ว่าเป็นเมืองแอตแลนติสที่หายสาบสูญไป แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าแนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ มันเป็นการก่อตัวทางธรณีวิทยาตามธรรมชาติ นั่นเอง
อ่างน้ำร้อนแห่งความสิ้นหวัง
พื้นที่สุดสยองแห่งนี้ มีชื่อเรียกว่า จากุซซี่แห่งความสิ้นหวัง (Jacuzzi of Despair) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า มีพื้นที่ใต้ทะเลจุดหนึ่งบริเวณด้านใต้ของอ่าวเม็กซิโกที่สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ที่พยายามผ่านเข้าไป เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความร้อนและสารพิษมากมายในบริเวณพื้นที่แห่งนี้
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทะเลสาบใต้น้ำอันน่าสยดสยองนี้โดยใช้ ยานพานะควบคุมระยะไกล นักวิจัยของเฮอร์คิวลีสรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบซากปูจำนวนมาก พื้นที่แห่งนี้อยู่ลึกลงไปถึง 1,000 เมตร จากพื้นผิว และมีรูปทรงอ่างน้ำที่กว้าง 30 เมตร และลึก 3.6 เมตร
จากการสำรวจทำให้ทราบว่า สิ่งที่ฆ่าปูเหล่านี้มัน คือ ความเค็มของน้ำบริเวณนี้ เพราะมันเค็มกว่าบริเวณอื่น 4-5 เท่า ซึ่งหนาแน่นพอที่จะให้เรือดำน้ำจอดได้
นอกจากความเค็ม ยังมีไฮโดรเจนซัลไฟด์ คราบน้ำมัน ก๊าซมีเทนที่รั่วไหล ผลลัพธ์ก็คือพื้นที่เป็นพิษแห่งนี้ พร้อมที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เฉียดเข้าไปใกล้
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับพื้นที่แห่งนี้ได้ เมื่อทีมงานของ ดร.คอร์เดส พบหอยแมลงภู่ยักษ์ และหนอนท่อ ที่ไม่ต้องพึ่งพาออกซิเจน อาศัยอยู่ได้ในพื้นที่อันตรายแห่งนี้
เมือง อายุ 1400 ปีที่สาบสูญ
เมืองที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายศตวรรษเรียก ซื่อเฉิง(Shi Cheng) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เมืองสิงโตใต้บาดาล มันถูกน้ำท่วมระหว่างการพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน จึงทำให้ รัฐบาลจีนตัดสินใจสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขึ้นมาใหม่ และได้ปล่อยน้ำเข้าเขื่อนในปี 1959 จนกลายเป็นทะเลสาบเฉียนเต่า(Qiandao)หรือทะเลสาบพันเกาะ(Thousand Island ) ขึ้นมา
นั้นจึงทำให้ เมืองสิงโต จมอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ด้วย หลังจมมานานกว่า 55 ปี เมืองโบราณแห่งนี้ก็ได้ถูกลืมเลือนจากผู้คนส่วนมากไปเลย
จนเมื่อปี ค.ศ. 2002 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ได้มีการเชิญนักดำเพื่อมาช่วยสำรวจภายในทะเลสาบเฉียนเต่า จึงทำให้ค้นพบเมืองโบราณแห่งนี้อีกครั้งในสภาพเกือบสมบูรณ์
ทำให้พบหลักฐานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูที่มีมากถึง 265 แห่ง ประตูเมืองพร้อมปราการ 5 แห่ง แม้แต่ถนน เสา บันได เก้าอี้ไม้ และรูปแกะสลักหินยังคงอยู่ในสภาพเดิม
และด้วยประวัติเก่าแก่กว่าพันปีทำให้ทางการจีนจัดย้ายเมืองโบราณขึ้นมาบนบก โดยจำลองของทุกสิ่งที่นอนจมใต้ทะเลสาบ เอาไว้ในพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาและรับรู้เรื่องราวอันเก่าแก่ของเมืองแห่งนี้ต่อไป ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดยอดฮิตของนักดำขั้นสูง แต่ต้องไปกับบริษัทที่เขาจัดให้บริการด้วยนะ เพื่อความปลอดภัย
โรงบ่มไวน์ใต้ผืนน้ำ
ที่คุณเห็นอยู่ที่นี้มันไม่ใช่ไข่ไดโนเสาร์ หรือไข่เอเลี่ยนนะครับ แต่มันเป็นการบ่มไวน์ของบริษัท Edivo Vina เป็นโรงกลั่นไวน์ใต้น้ำแห่งแรกของประเทศโครเอเชีย
โดยเขาได้ไอดีมาจากการค้นขวดแชมเปญ ที่มันจมอยู่ในเรือ ใต้ทะเลนานเกือบ 200 ปี แต่มันก็ยังมีอยู่ และมีรสชาติที่พิเศษอย่างมากอีกด้วย
พวกเขานำไวน์เกือบ 5,000 ขวด ที่มีการบ่มไว้เหนือพื้นดินเป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นก็นำมาบรรจุใส่เหยือก ดินเหนียวที่มีหูจับ 2 ข้างและคอแคบ จากนั้นก็นำลงไปไว้ใต้ทะเลเอเดรียติก ที่ความลึก 18-25 เมตร เป็นเวลานานกว่า 700 วัน ก่อนที่จะนำออกมาจำหน่าย
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมทัวร์กับนักดำน้ำเพื่อชมเหยือกที่จมอยู่ใต้น้ำซึ่งเป็นที่เก็บไวน์ พร้อมกับเรือที่จมอยู่ใต้อ่าว มาลี สตั้น( Mali Ston) สำหรับใครที่ไม่ชอบดำน้ำก็สามารถไปเที่ยวได้นะ เพราะเขามีโรงบ่มไวน์บนพื้นดินได้ดูเหมือนกัน
แมงกะพรุนยูเอฟโอสีแดง
นี่คืออีกหนึ่งสกุลแมงกะพรุนน้ำลึกที่มีความพิเศษ ซึ่งนอกจากรูปร่างหน้าตาจะเหมือน UFO แล้ว มันยังสามารถกะพริบจุดเรืองแสงสีฟ้าไล่วนเป็นวงรอบ ๆ ขอบของของตัวมันได้ ในยามที่มันรู้สึกว่ามีศัตรูเข้ามาใกล้
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสัญญาณจุดแสงสีฟ้านี้ แทนที่จะเอาไว้ไล่ศัตรูไปไกลๆ แต่กลับน่าจะวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อเรียกหาสัตว์ผู้ล่าตัวที่ใหญ่กว่า เพื่อมาข่มขู่หรือจัดการกับศัตรูแทน
นอกจากนี้ หนวดของมันยังมีความน่าสนใจอีกนิดด้วย เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตพวกมันจากเรือดำน้ำลึกพบว่า หนวดแต่ละเส้นของมันจะยาวไม่เท่ากัน หนวดที่ยาวทำหน้าที่จับเหยื่อประเภทไซโฟโนฟอร์ แมงกะพรุน หรือหวีวุ้น ส่วนหนวดที่สั้นกว่ามีไว้จับแพลงก์ตอนสัตว์นั่นจึงทำให้เราเห็นว่าธรรมชาติเป็นนักออกแบบที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เลย
ทะเลทรายใต้น้ำ
มีปรากฎการณ์ทางธรรมชาติมากมายที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น ซึ่งนี้ก็คืออีกหนึ่งประากฎการณ์ทางธรรมชาติกี่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่แห่งบนโลกนี้ มันคือ น้ำตกทรายใต้ทะเล (Sand Falls)
มันเกิดขึ้นจากแรงเสียดทานระหว่างแผ่นเปลือกโลกของทวีปอเมริกาเหนือและมหาสมุทรแปซิฟิก รวมกับการรวมกันของน้ำอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลคอร์เตซ
ถ้าคุณอยากเป็นของจริงต้องเดินทางไปที่ Cabo San Lucas ประเทศเม็กซิโก และต้องดำน้ำลงไปลึกถึง 30 เมตร ถึงจะได้เห็นความสวยงามของปรากฎกาณ์ทางธรรมชาติที่หาชมยากนี้ นอกจากนั้นคุณยังจะได้พบกับความหลากหลายของชีวภาพทางทะเลที่น่าประทับใจอีกด้วย
พระราชวังที่สาปสูญ ประเทศอียิปต์
เมืองเฮราคลิออน (Heracleion) สถานที่ซึ่งจมลงใต้มหาสมุทรเมื่อราวๆ 1,200 ปีก่อน ที่ถูกค้นพบเมื่อปี 2001 โดยทีมนักสำรวจที่มาที่นี่เพื่อตามหาเรือรบฝรั่งเศสที่เชื่อกันว่าจมอยู่ในพื้นที่แห่งนี้
แต่แทนที่จะเจอเรือรบอย่างที่คิดทีมนักสำรวจกลับได้พบกับ เมืองใต้นำที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีโดยธรรมชาติ และห่างไกลจากโจรผู้ฉวยโอกาส ทำให้ในเมืองนั้นยังคงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง และสมบัติ
โดยการค้นพบที่น่าสนใจนั้นประกอบด้วย วิหารโบราณ รูปปั้นฟาโรห์ขนาดใหญ่ และรูปปั้นเทพต่างๆ ซึ่งมีขนาดเล็กลงมา สฟิงซ์ แผ่นจารึกในภาษากรีกกับอียิปต์ และโลงศพอีกเป็นจำนวนมาก
เท่านั้นยังไม่พอในเมืองแห่งนี้ยังมีซากเรืออยู่ถึง 64 ลำ และสมอเรืออีกกว่า 700 ชิ้น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเมืองแห่งนี้นั้น มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่มาก่อน
ที่จริงเมืองเฮราคลิออนนั้นเคยมีการพูดถึงมาก่อนแล้วโดยนักประวัติศาสตร์ในสมัยกรีกโบราณนามว่า เฮอรอโดทัส (Herodotus) โดยอ้างว่าเฮราคลิออนเป็นเมืองที่เฮราคลีส (ก็เฮอร์คิวลีสนั่นล่ะ) เหยียบเป็นที่แรกในอียิปต์
นอกจากนี้เมืองเฮราคลิออนยังเคยถูกเฮเลนแห่งทรอยเดินทางมาเยี่ยมชมอีกด้วย อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่ผ่านมา เฮอรอโดทัสกลับถูกเชื่อว่าเป็นเพียงตำนานเล่าขานของคนสมัยก่อนเท่านั้น จนกระทั่งมีการค้นพบขึ้นมาจริงๆ นั่นเอง
ถ้ำยิปซั่มใต้น้ำ ใหญ่ที่สุดในโลก
ถ้ำโอดายสกายา (Ordinskaya Cave) หรือ ถ้ำออร์ด้า (Orda Cave) เป็นถ้ำยิปซั่มใต้น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่รู้จักกันมานานหลายปี แต่เนื่องจากยังไม่มีการสำรวจถ้ำอย่างจริงจัง ถ้ำจึงยังไม่เป็นที่รู้จ้กในหมู่คนทั่วไปมากนัก
และยังเป็นถ้ำใต้น้ำที่ยาวที่สุดในรัสเซียและมีความยาวเป็นอันดับ 2 ใน Eurasia ซึ่งเป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบถ้ำใต้น้ำในรัสเซีย
โดยถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาคาซักคอฟสคาย่า (Kazakovskaya Mountain) โดยปากถ้ำตั้งอยู่บนทางลาดชันทางทิศใต้ของหุบเขา มีความกว้างประมาณ 5 เมตร และมีความสูงประมาณ 2 เมตร
โดยล่าสุดนั้นได้มีนักข่าวและช่างภาพใต้น้ำที่มีชื่อเสียงของเนชั่นแนลจีโอกราฟิก (National Geographic) ชื่อ วิคเตอร์ ไลย์กุชเกน (Victor Lyagushkin) พร้อมกับทีมงานและนักดำน้ำได้ไปสำรวจถ้ำแห่งนี้ที่อุณหภูมิระดับต่ำกว่าศูนย์ และได้เก็บเอาภาพที่มีความสวยงาม เนื่องจากน้ำในถ้ำมีความใสมาก จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายในถ้ำ ซึ่งมีความชัดเจนมากถึงระยะ 50 เมตร เลยทีเดียว
เรียบเรียงโดย : อ่อนแอ