จากข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่าโลกใบนี้มีอายุมากกว่า 4,500 ล้านปี ซึ่งแน่นอนว่าต้องผ่านร้อน ผ่านหนาว มาอย่างยาวนาน นั้นจึงไม่แปลกเลยที่บนโลก จะมีสถานที่บางแห่งที่ทั้งแปลก และน่าอัศจรรย์ ซึ่งบางสถานที่เราก็อาจเคยได้พบเห็นมาบางแล้ว แต่เชื่อเถอะว่ามันยังมีอีกมากที่คุณไม่เคยเห็น
วันนี้ เราจึงอยากขอพาทุกท่านออกไปสำรวจโลกกว้าง เพื่อไปดูสถานที่ต่าง ๆ ที่เราคิดว่ามันแปลก และคุณก็ควรได้เห็นสักครั้ง ซึ่งจะมีที่ไหนบ้างนั้นถ้าพร้อมแล้วเราไปรับชมกันได้เลย
1. พระราชวังลอยฟ้า
สิกิริยา (Sigiriya) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกโลกแห่งที่ 2 จาก 10 แห่งของประเทศศรีลังกา มันคือพระราชวังที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงเกือบ 200 เมตร มีบันไดเดินขึ้นถึง 2,000 ขั้น ซึ่งถูกเรียกว่า พระราชวังลอยฟ้า หรือบางคนก็เรียกว่า เมืองคนบาป
ตามตำนานเล่าว่า มีกษัตริย์ 1 พระองค์และกษัตริย์องค์นี้มีพระโอรส 2 พระองค์ ซึ่งพระโอรสทั้ง 2 พระองค์เกิดการแย่งชิงราชสมบัติกัน โดยพระโอรสองค์สุดท้องไปฆ่าพระบิดาของตัวเองและกำลังจะขึ้นครองราชย์แทน
แต่กลับต้องหนีออกจากพระราชวัง เพราะกลัวว่าพระโอรสองค์โตผู้เป็นพี่ชาย จะมาฆ่าเพื่อล้างแค้นให้กับผู้เป็นพ่อ
จึงได้ทำการสร้างพระราชวังลอยฟ้าสิกิริยาขึ้นมาและสร้างอยู่บนที่สูงเพื่อป้องกันข้าศึกเข้ามาทำร้าย แต่ท้ายที่สุดแล้วเพราะความสำนึกในบาปกรรมที่ทำกับพระบิดา พระโอรสองค์สุดท้องจึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง จึงเป็นที่มาของชื่อ เมืองคนบาป
ซึ่งในอดีตมันเป็นรูปสิงโตขนาดใหญ่แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปจึงทำให้ปัจจุบันเหลือแต่เพียงแค่เท้าขนาดใหญ่สองข้างเท่านั้นเอง
2. ปล่องภูเขาปริศนาในไซบีเรีย
ปล่องภูเขาแห่งนี้มีชื่อว่า พาทอมสกี เคร์เทอร์ (Patomskiy crater) และมักถูกเรียกว่า อีเกล เนส (Eagle’s Nest ) หรือ รังของนกอินทรีย์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไซบีเรีย ถูกค้นพบครั้งแรกในปี คศ 1949 โดยนักธรณีวิทยาชื่อ วาดิม โคลปาคอฟ (Vadim Kolpakov)
มันเป็นเนินปูนขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 160 เมตร และมีความสูงประมาณ 40 เมตร โดยคาดว่ามันน่าเกิดขึ้นมาแล้วราว ๆ 250 ปี
เริ่มแรกนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์แต่จากการตรวจสอบไม่มีมนุษย์กลุ่มใดอาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้เลย อีกข้อสันนิษฐานที่ถูกตัดออกไปคือการเกิดขึ้นมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งเป็นไปได้ยากเนื่องจากอายุของมันยังน้อยและบริเวณนี้ก็ไม่ได้เป็นพื้นที่ของภูเขาไฟอีกด้วย
ดังนั้นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือมันเกิดมาจากอุกกาบาตที่ตกลงมา และภายใต้ภูเขาแห่งนี้ต้องมีธาตุอะไรบางอย่าง เพราะจากการศึกษาพบว่าต้นไม้รอบ ๆ ภูเขาแห่งนี้เติบโตเร็วกว่าปกติ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าปล่องภูเขาลึกลับนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
อีกทั้งยังมีเรื่องเล่าชวนขนลุกจากคนในพื้นที่ว่าถ้าใครก็ตามที่เขาไปใกล้พื้นที่นี้ เมื่อกลับออกมาก็จะป่วย บางคนสูญหายไป หรือไม่ก็ตายอยู่ที่นั้น แม้กระทั้งสัตว์ป่าแถวนั้นก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปด้วยซ้ำ แล้วคุณคิดว่ามันคืออะไรกันแน่
3. หอสังเกตการณ์พระอาทิตย์ เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกา
แชนคิลโล (Chanquillo) สถานที่อันน่ามหัศจรรย์ ซึ่งน้อยคนจะรู้จัก แต่ความอลังการของสถาน ที่แห่งนี้ ซึ่งมีอายุเก่าแก่มากกว่า 2,300 ปี ที่ดึงดูดให้กลุ่มนักโบราณคดีต่างเดินทางเข้าไปสำรวจสถานที่ แม้ว่าจะตั้งอยู่กลางทะเลทรายริมชายฝั่งทิศตะวันตกของประเทศเปรูในทวีปอเมริกาใต้
หากมองจากมุมสูงจะเห็นว่าเป็นรูปร่างคล้ายสนามกีฬาโล่งแจ้งขนาดใหญ่ แต่หากมองในแนวราบบนพื้นดินจะพบว่าจุดเด่นคือหอคอยที่สร้างขึ้นตามเนินเขา มีจำนวน 13 หอ มีความยาวทั้งหมดราว 130 เมตร มีความสูงราว 6 เมตร แต่ละหอคอยมีระยะห่างกันราว 5 เมตร
หอคอยแชนคิลโลถือว่าเป็นเครื่องมือทางดาราศาสตร์แบบโบราณ ซึ่งใช้ในการสังเกตดวงอาทิตย์ หรือการเคลื่อนไหวของกาลเวลา เพื่อช่วยให้พวกเขารู้วันเวลาที่เหมาะสมในการกระทำสิ่งต่างๆ เช่น การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว หรือความเชื่ออื่น ๆ เกี่ยวกับเทพเจ้าที่พวกเขานับถือ
แต่ก็มีนักโบราณคดีบางกลุ่มที่เชื่อว่า แชนคิลโล มีไว้เพื่อเป็นป้อมปราการเพราะได้มีการขุดค้นพบอาวุธหลายประเภท เช่น หอก, ลูกดอก, สลิง และโล่ บริเวณแชนคิลโล อย่างไรก็ตาม สิ่งก่อสร้างแชงกิลโญก็ถือว่าเป็นประจักษ์พยานหลักฐานถึงภูมิปัญญาของชาวเปรูในยุคดึกดำบรรพ์อีกแห่งอันน่าทึ่ง
4. เสาหินลึกลับ
เสาหินธรรมชาติ (Manpupuner rock formations) ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาอูราล ประเทศรัสเซีย เป็นเสาหินขนาดใหญ่ 7 แท่ง สูงประมาณ 30 – 42 เมตร
โดยมีประวัติความเป็นมาเมื่อ 200 ล้านปีก่อน บริเวณนี้เป็นเทือกเขาสูง แต่มีสภาพอากาศที่รุนแรงทั้ง ฝน,หิมะ,ลมหนาวและความร้อน ที่ค่อยๆทำลายภูเขาตามกาลเวลา
โดยเฉพาะหินที่มีความอ่อนแอจะถูกทำลายก่อน ส่วนชั้นหินที่มีความแข็งแรงอย่าหินควอร์ตไซต์เซริไซต์ สามารถเอาชีวิตรอดจากธรรมชาติได้ แต่หลงเหลืออยู่เพียงแค่ 7 แห่ง ตั้งตระหง่านท่ามกลางพื้นที่ว่างอันกว้างขวาง
เสาหินยักษ์มีลักษณะรูปร่างคล้ายขวด ที่ส่วนปากขวดนั้นถูกฝังลงดิน นอกจากนี้ 7 เสาหินยักษ์ ยังเป็นที่รู้จักในชื่ออื่นๆคือ “หิน 7 ยักษ์” หรือ “ 7 บุรุษผู้แข็งแกร่ง”
เพราะตามตำนานของท้องถิ่น เชื่อว่าครั้งหนึ่งหินเหล่านี้คือกลุ่มคนตัวยักษ์ ที่เดินทางผ่านภูเขาไปยังไซบีเรียเพื่อทำลายชาวมันซี แต่กลุ่มคนตัวยักษ์ได้เผชิญหน้ากับพ่อมดหน้าขาว จนถูกสาปให้กลายเป็นหินและพ่อมดก็กลายเป็นหินเช่นกัน หลังจากนั้นทั้ง 7 คนที่กลายเป็นหินยักษ์ ตั้งตระหง่านบนภูเขาสูงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
5. หอคอยปีศาจ
ที่เราเห็นกันอยู่นี้ถูกเรียกว่า Devils Tower หรือ หอคอยปิศาจ ที่มองไกลๆ เหมือนกับเป็นตอไม้ยักษ์ แต่นี่คือภูเขาดินธรรมชาติที่ตั้งอยู่ใน Bear Lodge Ranger รัฐไวโอมิง ประเทศสหรัฐอเมริกา
มีลักษณะเป็นกลุ่มแท่งหินหลายเหลี่ยมตั้งตระหง่าน วัดจากฐานมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 265 เมตร ส่วนที่ฐานมีป่าปกคุลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางของฐานประมาณ 300 เมตร ขณะที่ส่วนยอดจะค่อย ๆ เรียวจนเหลือพื้นที่เพียง 85 เมตรเท่านั้น หากมองผ่านจะมีความคล้ายต้อไม้ขนาดใหญ่มหึมา
ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาเชื่อว่า หอคอยปีศาจก่อตัวมาราว 50 ล้านปีมาแล้ว โดยเป็นหินละลายใต้เปลือกโลกที่ผุดขึ้นมาสู่ผิวดิน จากนั้นกระบวนการทางธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไปหินค่อย ๆ เย็นลงจนทำให้เกิดการหดตัว โดยมีกระแสลม ฝน แสงแดด ที่แผดเผาลงมาเป็นตัวเร่ง ส่งผลทำให้เกิดการแตกร้าวจนกลายเป็นเสาหินหลายเหลี่ยมอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
จนกลายเป็นที่ดึงดูดให้นักกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ทั้งมากระโดดร่มลงบนยอดหอคอย และพยายามที่จะพิชิตหน้าผาสูง เพราะที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น “ ผาหินที่ปีนยากที่สุดในโลก ”
หากไต่ขึ้นไปบนยอดก็จะเห็นดินแดนของ 5 รัฐ ที่ทอดตัวอยู่โดยรอบ ได้แก่ ไวโอมิง มอนทานา นอร์ทดาโกตา เซาท์ดาโกตา และเนบราสกา เลยนะครับ
ส่วนที่มาของชื่อ หอคอยปีศาจ ก็มาจากเรื่องเล่าต่าง ๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหมียักษ์ที่วิ่งไล่เด็ก 7 คน จนทำให้เด็ก ๆ ต้องปีนหนีขึ้นไปบนหิน และสวดภาวะนาต่อพระเจ้า จนทำให้ปาฏิหาริย์ก้อนหินที่เด็ก ๆ หินอยู่ก็สูงขึ้นไปเสียดฟ้าทำให้หมีร้ายค่อยๆ ลื่นไถล ครูดตกลงไปทีละตัว ทิ้งไว้เพียงรอยเล็บรอบด้านของภูเขา บางเรื่องเล่าก็บอกว่าในอดีตมันคือตอไม้ที่ถูกยักษ์ตัดไป จนปัจจุบันก็ได้กลายเป็นหิน หรือบางคนก็บอกว่าเคยเห็นยานของมนุษย์ต่างดาวบินมาจอดบนยอดหอคอยแห่งนี้ อันนี้ก็แล้วคนจะเชื่อนะครับ
6. ทางเดินขึ้นเขาสุดโหด
หลายคนคงเคยได้ยินว่า หากอยากลองประสบการณ์ขึ้นเขาที่เสี่ยงอันตรายที่สุดในโลก ต้องไปขึ้นเขาหัวซาน ประเทศจีน แต่อีกประเทศที่ใกล้บ้านเราและให้ความเสียวไส้ไม่แพ้กันต้องที่นี่เลยครับ Kalavantin Durg Trek มันคือเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขา ที่มีความสูงเหนือน้ำทะเล 700 เมตร ในประเทศอินเดีย
เขาลูกนี้อยู่ไม่ไกลจากมุมไบนัก ตามความเชื่อโบราณนั้นกล่าวว่าทางเดินสู่ยอดเขาลูกนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ราชินี คาราวานทีน (Kalavantin)
สิ่งที่ท้าทายนักท่องเที่ยว ก็คือในบางจุดบันไดมีความชันถึง 60 องศาและขั้นบันไดในหลายจุดก็สูงกว่า 2 ฟุต ดังนั้นการที่จะบุกปีนขึ้นไปสู่เบื้องบนจึงเป็นสิ่งที่จะต้องทำอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไป เพราะการก้าวพลาดเพียงนิดก็สามารถที่จะทำให้คุณร่วงหล่นลงมาตายที่เบื้องล่าง แตต่ถ้าอดทนขึ้นไปบนยอดเขาได้ล่ะก็ วิวทิวทัศน์อันแสนสุดยอดก็รอคอยอยู่เช่นกัน
เส้นทางเดินขึ้นเขานี้อาจใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง นอกจากจะชันแล้ว ยังมีความคดเคี้ยว และลื่นอันตรายด้วย ยิ่งใกล้ถึงยอดเท่าไหร่ความลาดชันจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ โชคยังดีว่าพอจะมีจุดแวะพักหายใจ นั่งเติมเสบียง และถ่ายรูปเล่นกันได้ในช่วงความสูงที่ 390 เมตร
ใครอยากไปสามารถไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปีครับ เพียงแต่ในช่วงฤดูมรสุมจะอันตรายมาก แนะนำให้เลี่ยงจะดีที่สุด
7. วัดบนผาหิน (Ajanta Caves)
ถ้ำอชันตา ตั้งอยู่ในเมืองออรังกาบาด รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย ได้ชื่อว่าเป็น วัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นหมู่ถ้ำแกะสลักจำนวน 30 ห้อง ที่แกะสลักเข้าไปในแนวภูเขาเกือกม้า
เชื่อกันว่า ถ้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสตกาล โดยพระภิกษุในสมัยนั้นได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ และเห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นกุฏิ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ เพื่ออาศัยอยู่อย่างสันโดษ
และถ้ำแห่งนี้ก็ได้ถูกทิ้งร้างไปในช่วงหลังศตวรรษที่ 8 จนกระทั้งได้ถูกค้นพบอีกครั้งในศตวรรษที่ 19 โดยนายหารอังกฤษท่านหนึ่ง ในขณะที่เขาเข้ามาล่าสัตว์แถวนั้น
เนื่องจากเป็นสถานที่ห่างไกลผู้คน ภายในเต็มไปด้วยงานแกะสลักหินเป็นองค์เจดีย์ เป็นพระพุทธรูป และภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำ โดยเป็นการเล่าเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดก จนกระทั้งในปี คศ. 1984 สถานที่แห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย องค์การยูเนสโก ซึ่งถ้าความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่นี้เป็นจริง ต้องยอมรับเลยนะครับว่าพระภิกษุที่สร้างที่แห่งนี้ขึ้นมาเก่งมาก ๆ เลย
8. ผาหินรูปคลื่น
คลื่นหินยักษ์ หรือ Wave Rock เป็นหินแกรนิต รูปทรงและสีสันซึ่งเป็นทางยาวดิ่งลงพื้น ให้ความรู้สึกคล้ายกับเกลียวคลื่นยักษ์ ลักษณะพิเศษนี้เกิดจากการชะล้างและกัดเซาะโดยน้ำฝน มวลทราย และความแรงของกระแสลม ผสมผสานจนเกิดเป็น คลื่นหินยักษ์
คลื่นหินลูกนี้มีความสูงจากพื้นดิน ประมาณ 15 เมตร และความสวยงามของคลื่นหินลูกนี้จะทอดยาวประมาณ 100 เมตร ตั้งอยู่แถบเมือง ไฮเดน (Hyden) แห่งรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย
นักธรณีวิทยาวิเคราะห์จากสภาพทางภูมิศาสตร์ คาดว่า คลื่นหินยักษ์ นี้ น่าจะมีอายุราว 2,700 ล้านปี และถือเป็นหนึ่งใน หินที่เก่าแก่ที่สุด ของออสเตรเลีย
Wave Rock เป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของสิ่งที่นักธรณีสัณฐานวิทยาเรียกว่า เฟรด สโลป(Flared slope) ซึ่งเป็นความลาดเอียงที่เกิดขึ้นกับด้านข้างของหน้าผาหินที่ถูกกัดเซาะโดยธรรมชาติจนกลายเป็นส่วนเว้าบริเวณฐาน ส่วนใหญ่พบได้ในหินแกรนิตนั่นเองครับ
ที่มา : โอ้โหจริงดิ