10 สถานที่สุดแปลกบนโลก ที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักการเดินทางเชื่อว่าการได้ออกไปพบเจอกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในสถาณที่แปลก ๆ มันคือท้าทาย และมนต์เสน่ห์ ที่ช่วยกระตุ้นต่อมการเรียนรู้ของคุณให้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากขอพาทุกท่านออกไปสัมผัสโลกกว้าง และรับชมสถานที่ต่าง ๆ จากทั่วโลกที่ทั้งแปลก และน่าสนใจเป็นอย่างมากจะมีอะไรบ้างนั้นถ้าพร้อมแล้วเราไปรับชมกันได้เลย

1. หุบเขาช็อกโกแลต (Chocolate Hills of Bohol Island)

หุบเขาช็อกโกแลต (Chocolate Hills) แห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะโบฮอล ทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ และมีความงดงามตามธรรมชาติที่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก

สถานที่แห่งนี้มีกลุ่มภูเขาเล็กใหญ่กว่า 1,700 ลูกที่เกิดตามธรรมชาติ แต่กลับมีรูปร่างมนและมีสัดส่วนไล่ ๆ กันประหนึ่งมนุษย์สร้าง คล้ายกับภาพวาดภูเขาของเด็กๆ ที่ไล่เรียงกันเป็นแนว

คำถามคือ เนินเขาเหล่านี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์หรือธรรมชาติ ถ้าตอบตามหลักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าน่าจะเกิดขึ้นจาก “ ธรรมชาติ ”

โดยคาดกันว่าในอดีตชาติหลายล้านปีก่อนบริเวณนี้เป็นท้องทะเล และนี่คือแนวปะการังอันแสนจะสมบูรณ์ ต่อมาเวลาเปลี่ยนน้ำทะเลเกิดเหือดแห้ง หลังจากนั้นก็เกิดการทับถมของหินปูนนานวันเข้ากลายเป็นเนินเขาเหล่านี้ แต่หลายคนก็ยังแอบสงสัยว่ามันต้องทับถมกันอย่างไรถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้

แต่ถ้าตามคำบอกเล่าในนิทานท้องถิ่น (ซึ่งมีอยู่หลายตำนาน) เล่ากันว่าภูเขาเหล่านี้เกิดจากการปั้นดินและปาใส่กันของยักษ์เด็ก 2 ตน หลังจากยักษ์น้อยเลิกทะเลาะและเลิกเล่นกันแล้วก็ลืมเกลี่ยดินที่ปาใส่กันให้ราบเรียบ เลยเป็นที่มาของกลุ่มภูเขากว่าพันแห่งที่นี่

โดยลักษณะทั่วไปนั้นภูเขาเหล่านี้เป็นภูเขาทุ่งหญ้า ซึ่งในช่วงหน้าแล้ง หญ้าเหล่านี้จะกลายเป็นสีน้ำตาลจนเป็นที่มาของชื่อช็อกโกแลตฮิลล์ นอกจากจะเป็นสถานที่เที่ยวแปลก ๆ ยอดฮิตของเกาะโบโฮลแล้ว ก็ยังเป็นเขตมรดกโลกด้านธรณีวิทยาอีกด้วยนะครับ

2. บ่อน้ำเทพเจ้าธอร์ 

บางครั้งธรรมชาติก็สร้างสรรค์ภูมิทัศน์ที่มีทั้งความสวยงาม และความอันตรายอยู่ในที่เดียวกัน อย่างเช่นที่ ธอร์ เวล (Thor’s Well) หรือบ่อน้ำเทพเจ้าธอร์ ที่แหลมเพอเพทัวร์ (Cape Perpetua) ชายฝั่งโอเรกอน รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ธอร์ เวล (Thor’s Well) เป็นบ่อน้ำเค็มที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากการที่คลื่นทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิคกัดเซาะตามกาลเวลา เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่คล้ายกับถูกค้อนของเทพเจ้าธอร์ฟาดตูมลงมาอย่างแรง

โดยรอบปากบ่อเต็มไปด้วยโขดหินแหลมจำนวนมาก เวลาที่จะมองเห็นบ่อได้ชัดที่สุดคือช่วงก่อนน้ำขึ้น 1 ชั่วโมง และ 1 ชั่วโมงหลังจากน้ำเริ่มลง

ไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวต่างก็มารอชมที่นี่ ก็คือจังหวะเกิดน้ำพุขนาดยักษ์ ที่จะพุ่งขึ้นมาเวลาที่คลื่นทะเลซัดรวมเข้ากับน้ำที่ท่วมเอ่ออยู่ใน Thor’s Well นั่นเอง

แต่ด้วยความแปลก และสวยงามที่ไม่เหมือนใคร มันก็ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ที่สวยมากแต่ก็อันตรายมากเช่นกัน จนบางคนเรียกว่า ประตูสู่โลกใต้ทะเล อีกด้วย

3. ทางเดินของยักษ์ (Giant’s Causeway)

กลุ่มแท่งเสาหินทรงหกเหลี่ยมที่เรียงตัวกันราวแท่งดินสอที่ถูกจับเรียงอย่างเป็นระเบียบนี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติล้วนๆ ที่แห่งนี้มีชื่อว่า ไจแอนท์สคอสเวย์(Giant’s Causeway) หรือบางคนเรียกว่า ทางเดินของยักษ์

ไจแอนท์สคอสเวย์(Giant’s Causeway) ประกอบด้วยเสาหินบะซอลต์กว่า 40,000 แท่ง ขนาดเสากว้างเฉลี่ย 46 ซม. สูงประมาณ 1-2 ม. เกิดจากการเย็นตัวลงของลาวาเมื่อประมาณ 50,000 – 60,000 ปีที่แล้ว

ส่วนสาเหตุที่ทำให้มันเป็นรูปทรงเรขาคณิตสมมาตรได้ขนาดนี้ เป็นเพราะเนื้อหินบะซอลต์ของลาวาในบริเวณนี้มีความสม่ำเสมอกัน

เมื่อลาวาเริ่มแข็งตัว และมีการหดตัวขึ้น แรงหดตัวนี้จะกระจายไปอย่างสม่ำเสมอเท่ากันทั่วทั้งพิ้นผิว และเกิดการแตกร้าวเป็นทรงเรขาคณิต

ด้วยความงามตามธรรมชาตินี้เอง จึงทำให้ทาง UNESCO ประกาศให้พื้นที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ในปี 1986 และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไอร์แลนด์เหนือในที่สุด

ส่วนที่ชื่อว่า ทางเดินของยักษ์นั้น มาจากตำนานที่เล่าต่อกันมาว่ามียักษ์สองตน ที่ชื่อว่า ฟินน์ แม็คคูล (Finn McCool) กับ เบนันดอนเนอร์ ได้มีการตะโกนท้าทายกันข้ามทะเล จนทำให้เจ้ายักษ์เบนันดอนเนอร์ เริ่มเอาเสาหินปักลงไปบนทะเลทีละแท่ง ทีละแท่ง เพื่อใช้เป็นทางเดินข้ามาต่อสู้นั้นเอง

เมื่อฟินน์ แม็คคูล เห็นเบนันดอนเนอร์ เดินข้ามมา และมีตัวที่ใหญ่กว่าเขามาก ก็เริ่มป๊อด เลยวิ่งหนีกลับไปเล่าให้เมียฟัง เมียก็กลัวว่าสามีจะมีอันตรายก็เลยออกอุบายให้เขารีบปลอมตัวเป็นเด็กทารก และไปนอนผูกเปลที่ชายฝั่ง

ครั้นเมื่อ เบนันดอนเนอร์ ข้ามมาถึง เจอฟินน์ที่ปลอมตัวเป็นเด็กน้อย ก็ทำให้เกิดความคิดว่า ” นี้แค่เด็กทารกตัวยังโตขนาดนี้ แสดงว่ายักษ์ที่ตะโกนท้าทายเรามาต้องตัวใหญ่มากกว่านี้แน่ๆ เลย” ว่าแล้วก็อย่าอยู่เลย ” เบนันดอนเนอร์รีบหนีกลับทางเดิมไปอย่างไว พร้อมกับถอนทำลายแท่งหินบางส่วนออกไปด้วย เป็นการป้องกันไม่ให้ยักษ์ตามมาได้นั่นเอง จึงปรากฎเป็น Giant’s Causeway ที่รูปร่างเว้าๆ แหว่งๆ จวบจนทุกวันนี้

4. ถ้ำโบราณอายุเกือบ 3 ล้านปี (Son Doong Cave)

ถ้ำเซินด่อง ถือว่าเป็นถ้ำใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม เป็นถ้ำโบราณอายุประมาณ 2-5 ล้านปี ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ภายในหุบเขา

ถูกพบโดยคนท้องถิ่นในปี 1991 แต่ยังไม่มีการเข้าไปสำรวจใดๆ เนื่องจากชาวบ้านพากันหวาดกลัวต่อเสียงประหลาดที่ดังจากข้างในถ้ำ

กระทั่งในปี 2009 คณะสำรวจจากอังกฤษจึงได้เดินทางมาบุกเบิก และพบว่าเสียงประหลาดนั้นเกิดจากเสียงน้ำที่ไหลอยู่ภายในถ้ำนั่นเอง

ความยิ่งใหญ่สุดจินตนาการนี้ เกิดจากการที่กระแสน้ำจากแม่น้ำไหลกัดเซาะชั้นหินปูนที่อยู่ใต้ภูเขา เมื่อชั้นหินปูนถูกกัดกร่อนมาอย่างยาวนานมันก็พังทลายลงเกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ขึ้นมา

ฟังดูเหมือนง่ายแต่กระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลานับล้านปีเลยทีเดียว ถ้ำเซินด่องมีความกว้าง 200 เมตร สูง 150 เมตร และมีความยาวถึง 9 กิโลเมตร เรียกได้ว่ายกเมืองทั้งเมืองมาไว้ในนี้ยังได้

นอกจากนั้นแล้ว ภายในโพรงถ้ำก็มีความสวยงามและเป็นที่อยู่ของสัตว์ขนาดเล็กหายากและพืชโบราณหลายพันธุ์ ว่ากันว่าบรรยากาศภายในถ้ำเสมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกยุคดึกดำบรรพ์เลยทีเดียว

5. ทะเลสาบสีชมพู (Lake Hillier)

ทะเลสาบฮิลเลอร์ บนเกาะมิดเดิล (Middle Island) ประเทศออสเตรเลีย (Australia) ที่นี่เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ที่มีความยาวประมาณ 600 เมตร และกว้างประมาณ 250 เมตรสุด และเป็นสถานที่ Unseen ในออสเตรเลีย ที่หลายคนอยากมาเห็นด้วยตาสักครั้ง

เพราะทะเลสาบแห่งนี้เป็น ทะเลสาบสีชมพู ! และถึงแม้ว่าในโลกนี้ยังมีทะเลสาบสีชมพูอีกหลายแห่ง แต่ทะเลสาบ Lake Hillier มีความแตกต่างจากทะเลสาบสีชมพูแห่งอื่น ๆ ตรงที่น้ำในทะเลสาบเป็นสีชมพูจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการตะกอน แสงสะท้อน หรือ สาหร่ายในน้ำ แบบที่เราเคยเห็น

เมื่อตักน้ำในทะเลสาบมาใส่ขวด ก็จะได้น้ำสีชมพูใส และจะเป็นสีชมพูอยู่อย่างนี้ตลอดไป จนนักวิทยาศาสตร์อึ้งไปตามๆ กันเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมากๆ

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจกำลังสงสัยว่า แล้วทำไม? น้ำที่มันถึงมีสีชมพู มีสองข้อสัญนิฐานที่น่าสนใจ คือ

1. เกิดจาก ดูนาลิเอลลา ซาลินา(Dunaliella Salina) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ ที่เป็นสาเหตุทำให้ปริมาณเกลือในทะเลสาบสร้างสีย้อมสีแดงขึ้น จนทำให้เกิดสีชมพูขึ้นนั่นเอง

2. เกิดจาก แบคทีเรียเฮโลฟิลิกสีแดง ในสะเก็ดเกลือ เนื่องจากบริเวณรอบๆ ทะเลสาบนั้นมีสะเก็ดเกลือปกคลุมอยู่ และมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น

แม้ว่าจะมีสีที่ผิดปกติ แต่ทะเลสาบไม่มีผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ คุณสามารถลงไปว่ายน้ำได้ แม้มันจะแปลก ๆ ไปสักหน่อยก็ตาม

6. ปราสาทปุยฝ้าย(Pamukkale)

ปามุคคาเล ซึ่งแปลว่า ปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) ในภาษาตุรกี ตั้งอยู่ในเมืองปามุคคาเล จังหวัดเดนิซลิ (Denizli) ประเทศตุรกี เป็นระเบียงน้ำพุเกลือร้อน ซึ่งเกิดขึ้นจากการเกิดแผ่นดินไหวของโลกในอดีต มีความยาวประมาณ 2.7 กิโลเมตร สูง 160 เมตร

ปามุคคาเล เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เกิดจากความดันความร้อนใต้พื้นดินที่ 35 – 36 องศาเซลเซียส แหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติเหล่านี้เกิดจากการประทุของน้ำและมีแคลเซียมไฮดรอกซัลคาร์บอเนตออกมา ผนวกกับพื้นที่บริเวณนี้มีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกอยู่บ่อยครั้ง จึงก่อให้เป็นแหล่งบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมาก

ว่ากันว่าน้ำพุร้อนที่นี่มีอายุมากว่า 14,000 ปี โดยตะกอนที่ไหลมาได้ฝังตัวทับถมกันจนเป็นตะไคร่น้ำสีขาวที่สวยแปลกตาเหล่านี้

ส่วนน้ำสีฟ้าใสราวกับแสงตกกระทบกับกระเบื้องหินอ่อนนั้น เกิดจากน้ำร้อนที่ทำปฏิกิริยากับกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสูญเสียความร้อน เมื่อก๊าซสัมผัสกับอากาศจึงทำให้แคลเซียมคาร์บอเนตตกตะกอน พื้นน้ำในบ่อน้ำพุร้อนเหล่านี้จึงมีสีฟ้าสดใสนั่นเอง

นอกจากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1988 อีกด้วย

7. หมู่บ้านไร้ถนน (Giethoorn)

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความสงบ เรียบง่ายและใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ไม่มีรถติด ไม่มีมลพิษทางอากาศความฝันของคุณมาถึงแล้ว

หมู่บ้านที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้คือ “หมู่บ้านกีธูร์น”  ที่ตั้งอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เป็นหมู่บ้านกลางคันคลอง ไม่มีถนน

ตั้งอยู่ทางขวามือของเขตสงวนทางธรรมชาติ และได้รับฉายาว่าเป็น “เวนิสแห่งเนเธอร์แลนด์ นั่นก็เพราะว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีถนน มีเพียงแต่คลองที่ใช้สัญจรไปมารอบ ๆ หมู่บ้าน

การเดินทางหลักคือเรือ และเท้าเล็กน้อยลัดเลาะรอบคูคลองเล็กน้อยหรือปั่นจักรยานผ่านได้เท่านั้น ระยะทางรอบหมู่บ้านราวๆ 7.5 กิโลเมตร ตลอดระยะทางจะมีสะพานเล็กๆเชื่อมต่อระหว่างสองฝั่งคลองถึง 180 สะพานทีเดียว

หมูบ้านนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ชอบท่องเที่ยวแบบสงบ แนวธรรมชาติ คุณสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวหมู่บ้านแห่งนี้ได้ และไฮไลท์ของกิจกรรมในหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ การล่องเรือชมหมู่บ้านนั่นเอง

8. แก่งหินสุดอัศจรรย์

เอนเทโลปแคนยอน (Antelope Canyon) ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดแปลกแนวอันซีนที่ขึ้นชื่อของรัฐอะริโซน่า (Arizona)

มันเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของแก่งหินใต้ดินที่ถูกกัดกร่อนมาเป็นเวลานานจนเกิดเป็นลวดลายพลิ้วไหวตามแนวหิน

อีกทั้งยังเกิดเป็นรูปร่างต่าง ๆ มากมาย แก่งแห่งนี้แบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนบน (Upper Antelope) และส่วนล่าง (Lower Antelope) บริเวณส่วนบนเป็นที่นิยมมากกว่า ค่าเที่ยวแพงกว่า แต่เดินชมรอบ ๆ ง่ายกว่ามาก มีพื้นที่ทางเดินที่กว้างกว่า

ส่วนบริเวณด้านล่างนั้นจะค่อนข้างแคบ เดินลำบาก บางมุมแคบมาก แต่ก็ประหยัดกว่าและมีมุมตกกระทบของแสงอาทิตย์ให้เห็นลวดลายหินที่เด็ดกว่ามาก ทั้งนี้การเข้าไปชมไม่ว่าจะชั้นบนหรือล่างก็ต้องมีไกด์พาเข้าไปชมเพื่อความปลอดภัยด้วยนะทุกคน

9. เดอะเกรตบลูโฮล 

เดอะเกรตบลูโฮล (The Great Blue Hole) ประเทศเบลิซ (Belize) สถานที่แปลกในโลกใต้ทะเล เป็นหลุมใต้สมุทรขนาดใหญ่ที่เกิดจากการยุบตัวของพื้นโลก

โดยหลุมแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับแนวปะการังไลท์เฮ้าส์ (Lighthouse Reef) เป็นส่วนหนึ่งของเขตมรดกโลกแนวปะการังเบลิซ

ลักษณะของหลุมแห่งนี้มีรูปร่างเป็นอ่างวงกลมสีฟ้าเข้มขนาดใหญ่กลางทะเลที่ล้อมรอบด้วยแนวปะการังที่เห็นชัดโดดเด่นและสวยงามมาก เดอะเกรตบลูโฮลเป็นจุดน้ำลึกยอดฮิตติดอันดับท็อป 10 ของโลก โดยมีความลึกร่วม 125 เมตรและเป็นหลุมใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ภายใต้หลุมแห่งนี้มีชั้นหินปูนใต้ทะเลและถ้ำใต้น้ำ จัดเป็นเขตธรรมชาติที่สมบูรณ์ เป็นที่อาศัยของปลาทะเลพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย

หลุมแห่งนี้มีนักประดาน้ำเข้าไปดำน้ำมากมาย โดยถูกจัดเป็น 1 ใน 7 หลุมที่เป็นสถานที่น่าดำน้ำมากที่สุดในโลก แต่ด้วยความลึกของหลุมก็ทำให้มีนักประดาน้ำหลายคนได้เสียชีวิตที่นี่ เนื่องจากอาการ ไนโตรเจน นาโครซิส (Nitrogen narcosis) หรือ อาการเมาไนโตรเจน และเกิดการหมดสติ

มักเริ่มที่ระดับความลึก 60 เมตร เพราะฉะนั้นก่อนการไปดำน้ำไม่ว่าจะที่ไหนก็ต้องเตรียมตัวเตรียมร่างกายให้พร้อม และต้องปลอดภัยไว้ก่อนด้วยนะ

10. น้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond)

ด้วยความงดงามจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติที่มีความแปลกไม่เหมือนใครนี้เองที่ทำให้ น้ำพุร้อนสีเลือด หรือ บ่อน้ำพุนรกขุมที่เก้า แห่งเบปปุ นี้กลายมาเป็นน้ำพุร้อนที่โด่งดังที่สุดของเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชูของประเทศญี่ปุ่น

น้ำในบ่อแห่งนี้มีสีที่เป็นเอกลักษณ์ อันเกิดจากปริมาณแร่ธาตุไม่ว่าจะเป็นไอเอิร์นออกไซด์ และแมกนีเซียม ในปริมาณเข้มข้นที่ทำปฏิกิริยาภายใต้อุณหภูมิและความดันใต้ดินทำให้น้ำกลายเป็นสีชาจนเกือบแดงที่ดูคล้ายสีของสนิม แต่คนส่วนมากก็บอกว่ามันคล้ายสีเลือด

โดยมีตำนานเล่าว่า “ บ่อเลือดนรกเคยถูกใช้เป็นสถานที่ลงโทษอาชญากรที่กระทำความผิดร้ายแรงเมื่อราวๆปี 700 อาชญากรจะต้องทนรับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทางกายเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนกระทั่งตาย”

อีกทั้งน้ำที่นี่ยังมีอุณหภูมิที่สูงราว 78 องศาเซลเซียส ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟในอดีตส่งไอร้อนพุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำตลอดเวลา ราวกับอยู่ในนรกร้อนระอุ นั้นจึงเป็นที่มาของชื่อ บ่อน้ำพุนรก นั่นเอง

แน่นอนว่าอุณหภูมิสูงขนาดนี้สิ่งมีชีวิตจึงไม่สามารถลงไปแช่ได้ แต่ปริมาณแร่ธาตุที่เข้มข้นมากถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวซึ่งมีจำหน่ายในร้านด้านหน้าบ่อเลือดนรกด้วย

ก็จบกันไปแล้วกับ 10 สถานที่แปลก ๆ ที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้ มีสถานที่ไหนที่ทำให้คุณประหลาดใจ และอยากเดินทางไปเที่ยวที่สุดหรือไม่