หลายๆ คนอาจจะเคยได้พบเห็นสถานที่แปลกมามากมาย แต่ดูเหมือนว่าบนโลกนี้ยังมีสถานที่แปลก ๆ อยู่อีกมาก อย่างเช่น 10 สถานที่แปลก ๆ ที่เรานำมาให้ทุกท่านได้ชมในวันนี้ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้นถ้าพร้อมแล้วเราไปรับกันได้เลย
1. ดินแดนสุดแปลกราวกับหนังไซไฟ( Mono Lake )
ทะเลสาบโมโน คือทะเลสาบน้ำเค็มในบริเวณทะเลทรายของเทือกเขาเซียราเนวาดา ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา เป็นทะเลสาบที่ไม่ทางออกไปสู่มหาสมุทร จึงทำให้เกิดการสะสมของเกลือในระดับสูง
โดยมีการสันนิษฐานว่าเริ่มเกิดการสะสมของเกลือตั้งแต่เมื่อ 760,000 ปีที่แล้วและเนื่องจากการที่น้ำเค็มมากทำให้ไม่มีปลาอาศัยอยู่ได้ สิ่งเดียวที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ได้มีเพียงแต่กุ้งตัวเล็กๆ ที่ดึงดูดนกอพยพให้มาที่นี่นับล้านตัวในทุก ๆ ปี
นอกจากนั้นที่นี่ก็ยังมีหินปูที่มีรูปร่างแปลก ๆ ราวกับเป็นดาวดวงอื่นอยู่มากมายโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นผิวน้ำของทะเลสาบโมโน มันถูกเรียกว่า หอคอยทูฟา
หอคอยหินปูนเหล่านี้ประกอบด้วย แร่ธาตุแคลเซียมคาร์บอเนต เป็นหลัก ซึ่งเดิมทีมันก่อตัวขึ้นที่ด้านล่างของทะเลสาบ และใช้เวลาหลายสิบปีหรือหลายศตวรรษในการสร้างหอคอยทูฟาขึ้น
เมื่อระดับน้ำในทะเลสาบลดลง หอคอยทูฟาก็โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำและตั้งตระหง่านเหมือนเสาที่เห็นได้ในปัจจุบันนั่นเอง
2. พีระมิดของชาวสุเมเรียนในอิรัก (the ziggurat of ur)
หากพูดถึงพีระมิดเชื่อว่าคนส่วนมากก็คงนึกอียิปต์อย่างแน่นอน แล้วคุณรู้หรือไม่ว่ามีประเทศอีรัก ก็มีพีระมิดด้วยเหมือนกัน ซึ่งพีระมิดที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้มีชื่อเรียกว่า “ ซิกกุรัต ” ถูกสร้างขึ้นโดยชาวเมโสโปเตเมียโบราณ
ซิกกูแรต ถูกสร้างขึ้นจากอิฐโคลนที่ประกอบเข้ากับน้ำมันดิน แล้วก็เอาไปเผาจนดูคล้ายอิฐในปัจจุบัน ฐานล่างจะคล้ายพีระมิด แต่ด้านบนจะตัดแบนราบ มีบันไดด้านหน้า และห้องต่าง ๆ เพื่อประกอบพิธี ซึ่งคนที่จะขึ้นไปด้านบนได้จะเป็นกษัตริย์ กับนักบวชเท่านั้น
อีกทั้งยังมีการสร้างกระจัดกระจายไปทั่วทะเลทรายของหัวเมืองหลักในอิหร่าน และอิรัก โดยมีความเชื่อ สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าที่เมืองของตนนับถือนั้นเอง
แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดนั้นก็คือ ซิกกุรัต ที่เมืองอูร์ ของประเทศอิรักในปัจจุบัน ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์เออร์-นัมมู แต่สร้างยังไม่ทันเสร็จพระองค์สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน จากนั้นพระโอรสที่ชื่อว่า ชุลกิ ก็สร้างต่อจนเสร็จ เมื่อประมาณ 21,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และได้พังทลายลงมาเหลือแต่ซากเมื่อถึง 600 ปีก่อนคริสต์ศักราชในสมัยบาบิโลนใหม่
และกว่าจะมาถึงในปัจจุบัน ซิกกุรัต เดิม ก็ได้รับการบูรณะมา 2 ครั้ง ซึ่งได้มีการใช้ปูนซีเมนต์และอิฐสมัยใหม่ผสมเข้าไปด้วยเพื่ออนุรักษ์สถานที่ดังกลาวเอาไว้นั้นเองครับ เออ! ลืมบอกว่ามีที่นี่ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกด้วยนนะ
3. ทะเลสาบยางมะตอย (Pitch Lake)
หากบอกว่าบนโลกนี้มีทะเลสาบที่น้ำเป็นยางมะตอยคุณจะเชื่อหรือไม่? เราขอแนะนำให้คุณได้รู้จักทะเลสาบพิตซ์ ตั้งอยู่ในเมืองลา เบรีย(La Brea) สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นแหล่งสะสมยางมะตอยธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ มีรอยเลื่อนของเปลือกโลก 2 รอยมาบรรจบกันจึงทำให้น้ำมันดิบที่อยู่ใต้ดินพุ่งแทรกขึ้นมาตามรอยแยกใต้ทะเลสาบ และเมื่อน้ำมันดิบที่ว่านี้เมื่อผสมเข้ากับเศษกรวดหินดินทรายที่ทับถมในชั้นเป็นเวลานับล้าน ๆ ปี จนทำให้กลายเป็นยางมะตอยตามธรรมชาตินั่นเอง
ซึ่งไม่เหมือนกับยางมะตอยที่ใช้ทำถนนในบ้านเรานะครับ แบบนั้นเป็นยางมะตอยที่เหลือจากการกลั่นปิโตรเลียมแล้ว ส่วนยางมะตอยในทะเลสาบนี้มันจะสีดำมีความหนืด และนิ่ม แต่มันก็สามารถเดินด้านบนของยางได้ ยกเว้นแค่บางจุดถ้ายืนนาน ๆ อาจจมลงไปเลยก็มี
แม้ว่าทะเลสาบจะดูนิ่งๆ แต่จริงแล้วยางมะตอยค่อย ๆ เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ โดยสามารถเห็นได้จากเส้นทางการไหลบนพื้นผิว และเนื่องจากน้ำมันมีคุณสมบัติติดไฟได้ จึงไม่แนะนำให้สูบบุหรี่ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่แปลกบนโลกนี้ที่ชวนว้าวเหมือนกันนะครับ
4. ประตูนรกเทพเจ้าพลูโต (Pluto’s gate)
เทพเจ้าพลูโต หรืออีกชื่อหนึงเรียกรู้จักกันในนามเฮเดส เป็นโอรสของเทพโครนัส (Cronus) และ เทพีรีอา (Rhea) เป็นพี่น้องกับเทพเจ้าซูส และโพโซดอน ปกครองอยู่ยมโลก เลยได้ขื่อว่าเทพเจ้าแห่งความตาย
มันจึงถูกนำความเชื่อมโยงกับการค้นพบประตูนรกเทพพลูโตตามตำนานกรีก ที่ นครโบราณเฮราโพลิส ณ เมืองปามุกกาเล ประเทศตุรกี โดยผู้ที่ค้นพบ เป็นนักโบราณคดี ชาวอิตตาลี ที่ชื่อว่า ฟรันเชสโก ดี อันเดรีย (Francesco D’Andria)
ซี่งเค้าเชื่อว่า ที่นี่เป็นประตูนรกเทพพลูโตตามตำนานกรีกที่กล่าวถึง เพราะที่นี้มีลักษณะสอดคล้องกับบันทึก ของ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ที่ชื่อ สตาร์โบ ได้กล่าวไว้ว่ามันเป็นสถานที่ “ เมือโยนนกกระจอกเข้าไป มันก็จะตายทันที ” อีกทั้งบริเวณรอบ ๆ ก็ยังมีข้อความที่กล่าวเทพพลูโตด้วย
ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าที่สัตว์ตายในหลุม นั่นเป็นว่าภายในหลุม เต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง
ถ้าตามตำนานที่นี่ใช้เพื่อทำพิธีกรรมในการติดต่อกับวิญญาณ และผู้คนที่มาทำพิธีที่นี้จะสามารถเห็นนิมิตของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้
แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกต่อว่า ที่เขานิมิตได้นั้นก็เพราะสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปเป็นจำนวนมาก จนเกิดประสาทหลอนก็เป็นได้
5. ทะเลสาบที่ไม่เคยถูกแช่แข็ง (Don Juan Pond)
ถ้าพูดทะเลที่เค็มที่สุดในโลก หลายคนก็อาจบอกว่า ทะเลสาบเดดซี เพราะมันเค็มจนลอยตัวในน้ำได้แบบไม่จม แต่เราอยากแนะนำให้คุณได้รู้กับทะเลสาบที่เจ๋งกว่านั้น
ดอนฮวน (Don Juan Pond) เป็นทะเลสาบขนาดเล็กตั้งอยู่ในเขตหุบเขาอันแห้งแล้ง ที่เรียกว่า the Dry Valleys ของแอนตาร์คติกา มีขนาดราว 300 x 100 ม. น้ำลึกไม่เกิน 30 ซม. และได้ชื่อว่า เป็นแหล่งน้ำที่น้ำมีความเค็มมากที่สุดในโลก( The Saltiest Body of Water on Earth )
นั่นเป็นเพราะว่าสทะเลสาบแห่งนี้คือมีระดับความเค็มมากกว่า 40% ซึ่งมากกว่าความเค็มของมหาสมุทรถึง 18 เท่า และเค็มกว่าทะเลสาบเดดซี(Dead Sea) ที่คนรุ้จักกันทั่วโลก ถึง 8 เท่า
นอกจากนั้นด้วยความเค็มระดับนี้ประกอบกับเกลือในน้ำเป็นแคลเซียมคลอไรด์ถึง 95% ทำให้จุดเยือกแข็งต่ำมาก ทำให้น้ำในทะเลสาบดอนฮวนแทบไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลย แม้กระทั่งในฤดูหนาวที่อุณหภูมิลดลงถึง -50 °C
ถือเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอยู่บนโลกมนุษย์ (one of the most unearthly places on the planet.) และได้ชื่อเป็นสถานที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์ทีสุดแห่งหนึ่งของของโลก ที่ถูกพูดถึงน้อยมาก
6.ประตูเชื่อมดวงดาวและเทพเจ้า( Aramu Muru )
อารามู มูรู (Aramu Muru) โครงสร้างหินลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับทะเลสาบติติกากา ในประเทศเปรู มีรอยแกะสลักหินขนาดใหญ่
ลักษณะเป็นรูปตัว T สูง 7 เมตรและกว้าง 7 เมตร บนกำแพงหินขนาดยักษ์ ผู้ใหญ่สามารถเข้าไปได้อย่างสบายๆ ซึ่งเชื่อว่าเป็นประตูที่เชื่อมกับดวงดาวและเทพเจ้า
ที่นี่ถูกพบโดยบังเอิญในปี 1996 โดย โฮเซ่ หลุยส์ เดลกาโด มามานี่(Jose Luis Delgado Mamani) เขาเป็นไกด์นำทางเดินเขาซึ่งคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี
แต่ครั้งหนึ่งเขาสะดุดตากับโครงสร้างหินนี้ที่ดูไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จึงติดต่อกับนักโบราณคดีให้มาตรวจสอบ
เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ประตู” นี้มีมากมาย ทั้งเชื่อว่าเป็นประตูเชื่อมกับจักรวาลสำหรับมนุษย์ต่างดาว ทั้งประตูเชื่อมกับยมโลก แต่บางกลุ่มก็บอกว่า นี่ไม่ใช่ประตูหรอกนะ!! ส่วนชาวพื้นเมืองเชื่อว่า นี่เป็นประตูสู่เทพเจ้า
7. เที่ยวหุบเขาโลกพระจันทร์ (Vale da Lua )
ในประเทศบราซิลมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนหลุดไปบนดวงจันทร์ ด้วยความแปลกขงมันจึงถูกเรียกว่า หุบเขาโลกพระจันทร์ (Vale da Lua ) หรือ “the valley of the moon”
เป็นลานหินสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี ที่ถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำ แซน มิเกล(San Miguel) จนทำให้เกิดถ้ำโตรกหิน น้ำตก และหินรูปร่างแปลก ๆ ซึ่งวกวนไปตามผนังของโตรกหิน
ด้วยความที่มันแปลก และมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะ อีกทั้งน้ำที่นี่ก็ยังใสมาก ๆ จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมอยู่อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในฤดูฝนจะเป็นอันตรายมากจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ดินแดนประหลาดแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ ชาปาดา โดส เวอาเดรอส(Chapada dos Veadeiros) ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกแล้วเมื่อปี ค.ศ. 2001 นะครับ
8. น้ำพุร้อนสีรุ้ง (Fly Geyser)
น้ำพุร้อนฟลาย ไกเซอร์(Fly Geyser) ตั้งอยู่ที่ รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา มันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยความบังเอิญ โดยเมื่อปี ค.ศ. 1917 มนุษย์ได้ขุดเจาะพื้นที่ตรงนี้เพื่อทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ แต่กลับพบว่าน้ำใต้ดินที่เจอมีอุณหภูมิกว่า 200 องศาเซลเซียส เมื่อใช้ประโยชน์ไม่ได้มันเลยถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964
เมื่อเวลาผ่านไปน้ำพุร้อนฟลาย ไกเซอร์( Fly Geyser) ก็ได้กลายเป็นน้ำพุร้อนที่มีรูปทรงแปลกตา และมีน้ำร้อนพุ่งออกมาเป็นระยะ ๆ
ส่วนที่มันมีรูปทรงที่แปลกประหลาด นั่นก็เพราะกองดินกองหินบริเวณนั้นถูกน้ำพุร้อนดันขึ้นมา จนตอนนี้มีสามสูงมากกว่า 3 เมตรแล้ว และสาเหตุที่เห็นมีสีสันสวยงามนั้น ก็เกิดขึ้นจากการถูกปกคลุมด้วยสาหร่ายที่เจริญเติบโตได้ในอุณหภูมิร้อนชื้น เลยเกิดเป็นสีเขียวสีแดงอย่างที่เห็นนั่นเอง
ปัจจุบันน้ำพุร้อนฟลาย ไกเซอร์มันตั้งอยู่บนทรัพย์สินส่วนตัวของเอกชน และนักท่องเที่ยวต้องได้รับอนุญาตก่อนที่จะสามารถเข้าชมได้
9. มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกในอินเดีย (Ruins of Nalanda University)
มหาวิทยาลัยนาลันทา หรือ นาลันดามหาวิหาร(Nalanda Mahavihara) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา
เพราะเป็นสถานศึกษาหลักที่พระภิกษุเดินทางมาศึกษาพระธรรมที่มีอายุมากถึงพันกว่าปี ความใหญ่โตอลังการของนาลันทาเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลของ BBC บอกว่า ในอดีตเมือง นาลันทาเป็นหมู่บ้านสำคัญเพราะเป็นทางผ่านของเหล่าพ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายยังกรุงราชคฤห์
อย่างไรก็ตามนาลันทาเริ่มเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของพุทธศาสนาจริงๆ ในสมัยคุปตะ (Gupta empire) เพราะจักรพรรดิของราชวงศ์คุปตะหลายพระองค์ได้สร้างสำนักสงฆ์ วัดวาอาราม ห้องสมุด และสถานศึกษาขึ้นที่นาลันทา
จากการจากหลักฐานบันทึกของพระจีนสองรูป ก็คือ พระสวนจ้าง หรือพระถังซัมจั๋ง ในเรื่องไซิอ๋วนั่นแหละครับ และอีกรูปก็คือ พระอี้จิง ที่มีโอกาศเดินทางไปนาลันดา ถึงสองครั้งในช่วงปี ค.ศ.637 และ ค.ศ 642 บอกว่าที่นี่มีสอนวิชาหลายแขนงมาก โดยจะเน้นการกว้างทางความคิด อีกทั้งนักเรียนที่นี่อย่างน้อยก็มีเป็นหมื่นคน
อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งมีการเกิด ตั้งอยู่ ดับไป ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มหาวิทยาลัยนาลันดาเองก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความจริงข้อนี้ได้เช่นกัน
10. ต้นสนประหลาด
ครุ๊ก ฟอเรสต์ (Crooked Forest) หรือ ป่าสนโค้งงอ ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าในหมู่บ้าน โนว์ ซาร์ โนโว(Nowe Czarnowo) ประเทศโปแลนด์
ในป่าแห่งนี้มีต้นสนกว่า 400 ต้นที่มีลักษณะของลำต้นช่วงล่างที่ผิดปกติไป คือลำต้นนั้นมีลักษณะโค้งงอบริเวณโคนต้น ก่อนที่จะตั้งตรงดังเช่นต้นไม้ทั่ว ๆ ไป
ซึ่งส่วนนี้เองที่ได้สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะหากดูเผิน ๆ แล้วราวกับว่าต้นไม้พวกนี้มันกำลังหย่อนก้นลงพื้นนั่งพักอยู่ยังไงยังงั้น
โดยยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ บางคนก็ให้เหตุผลว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งเกิดจากสนามโน้มถ่วงของโลก หรือเกิดจากพายุหิมะถล่มทับมันไปช่วงเวลาหนึ่งที่นานพอที่จะทำให้รูปร่างของมันโค้งงอ ก่อนที่มันจะกลับมาเจริญเติบโตตามปกติหลังจากหิมะหมดไป
ส่วนบางคนก็ได้ระบุว่า เกิดจากรถถังของโซเวียตในช่วงสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง วิ่งทับต้นกล้าของต้นสนเหล่านี้ ทำให้มันเติบโตมาผิดรูปเช่นนี้
ยังมีทฤษฎีหนึ่งที่บอกว่ามันเกิดขึ้นจาก ช่างไม้ป่าที่ดัดเอาไว้เพื่อไปเฟอร์นิเจอร์ที่มีรูปร่างเฉพาะขาย แต่โชคร้ายที่ชาวบ้านชาวป่าเหล่านั้นเสียชีวิตจากไปเสียก่อน ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศโปแลนด์ไปแล้ว
ก็จบกันไปแล้วกับ 10 สถานที่แปลก ๆ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ มีสถานที่ไหนที่ถูกใจคุณเป็นพิเศษหรือไม่? ถ้ามีก็บอกเราที่คอมเมนต์หน่อยนะครับ